วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อาหารที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส
ครัวซอง



ครัวซอง ( croissant) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่กรอบ ชุ่มเนย และโดยทั่วไปจะมีลักษณะโค้งอันเป็นที่มาของชื่อ "croissant" ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง "จันทร์เสี้ยว" บางทีก็ถูกเรียกว่า crescent roll (โรลจันทร์เสี้ยว)
การทำครัวซองค์จะต้องใช้แป้งพายชั้น (puff pastry - พัฟ เพสทรี่) ที่ผสมยีสต์ นำมารีดให้เป็นแผ่น วางชั้นของเนยลงไป พับและรีดให้เป็นแผ่นซ้ำไปมา ตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม นำไปม้วนจากด้านกว้างไปด้านแหลม บิดปลายให้โค้งเข้าหากัน อบโดยใช้ไฟแรงให้เนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นดันแป้งให้ฟูก่อน จึงค่อยลดไฟลงไม่ให้ไหม้


คีช
เมดิเตอเรเนียนคีช
คีช ( quiche) เป็นอาหารจานอบชนิดหนึ่งโดยมีส่วนประกอบหลักคือ ไข่ นม หรือ ครีม ถึงแม้ว่าคีชจะมีลักษณะคล้ายพายแต่คีชถูกจัดเป็นอาหารคาว โดยในคีชอาจมีส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ผัก เนยแข็ง ได้
ถึงแม้ว่าคีชจะมีส่วนประกอบหลายอย่างคล้ายอาหารประเภทพาสตา แต่ไม่ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของพาสตา




บาเกต

ขนมปังฝรั่งเศส
บาเกต ( baguette) หรือ
ขนมปังฝรั่งเศส เป็นขนมปังมีลักษณะรูปทรงเป็นแท่งยาวขนาดใหญ่ เปลือกนอกแข็งกรอบ เนื้อในนุ่มเหนียว และเป็นโพรงอากาศ มักนำมาหั่นเฉียงเป็นแผ่นหนา เพื่อรับประทานกับซุป ปาดเนยสด หรือประกอบทำเป็นแซนด์วิช


ปาเต



ปาเตหลายหลายชนิดคู่กับแตร์รีน
ปาเต ( pâté)
เป็นอาหารยุโรปประเภทหนึ่ง ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงเนื้อบดผสมไขมัน ปาเตโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นซอสสำหรับทา ทำจากเนื้อบดละเอียดหรือส่วนผสมของเนื้อและตับบดหยาบ ๆ และมักผสมไขมัน ผัก สมุนไพร เครื่องเทศ หรือไวน์ เป็นต้น
ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเบลเยียม ปาเตอาจใช้เป็นไส้พายหรือขนมปังแถว เรียก "ปาเตอ็องกรูต" (ฝรั่งเศส: pâté en croûte) หรือใช้อบด้วยแตร์รีนหรือแม่พิมพ์แบบอื่น เรียก "ปาเตอ็องแตร์รีน" (ฝรั่งเศส: pâté en terrine) ปาเตประเภทที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ปาเตเดอฟัวกราส์" (ฝรั่งเศส: pâté de foie gras) ทำจากตับของห่านที่ขุนจนอ้วน คำว่า "ฟัวกราส์อองตีเยร์" (ฝรั่งเศส: foie gras entier) หมายถึง ตับห่านธรรมดาที่ได้รับการปรุงสุกและหั่นเป็นแผ่น ไม่ใช่ปาเต
ส่วนในประเทศฮอลแลนด์ ประเทศเยอรมนี ประเทศฟินแลนด์ ประเทศฮังการี ประเทศสวีเดน และประเทศออสเตรีย ปาเตที่ทำจากตับบางชนิดจะมีลักษณะอ่อนยวบ โดยมากเป็นไส้กรอกที่ใช้ทาได้ ภาษาดัตช์เรียก "leverworst" ภาษาเยอรมันเรียก "leberwurst"


ฟัวกรา




ฟัวกรา เสิร์ฟแบบปิกนิกพร้อมขนมปัง
ฟัวกรา
( Foie gras ) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา
ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน
ประเทศฮังการีผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920 ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส



ราทาทุย



ชามที่มีราทาทุยและขนมปังเคียงข้าง
ราทาทุย (
Ratatouille ) เป็นอาหารพื้นเมืองของฝรั่งเศส ในเขต Provençal โดยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก มีต้นกำเนิดมาจากเมือง Nice ทานตอนใต้ของฝรั่งเศส อาหารชนิดนี้มีชื่อเต็มว่า ratatouille niçoise
รูปแบบของอาหาร
คำว่า ratatouille มาจากภาษาอ็อกซิตันว่า "ratatolha" ราทาทุยปัจจุบันพบเห็นได้ที่ Occitan Provença และ Niça โดยมักจะทำในหน้าร้อนโดยใช้ผักในฤดูร้อน Ratatolha de Niça สูตรดั้งเดิมนั้นจะใช้เพียงแค่ ซุชีนี่, มะเขือเทศ, พริกหยวกแดงและเขียว, หัวหอม, และกระเทียม ราทาทุยในปัจจุบันจะมีการใส่มะเขือลงไปในส่วนผสมด้วย
ปกติราทาทุยจะเสิร์ฟเป็นอาหารข้างเคียงกับอาหารหลัก หรือบางครั้งก็เสิร์ฟเป็นอาหารหลักบนโต๊ะอาหาร
*******************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันพ่อปีนี้ได็ไหว้พ่อด้วย

5 ประเทศที่โดนโหวต อาหารอร่อยที่สุดในโลก

อันดับ 1. Bangkok - Thai food is The Best   
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ขอกรี๊ดแรง และดังๆ เลยค่ะ ฮ่าๆ ตอนเห็นผลโพลนี้นี่ยิ้มแก้มจะ
แตก ดีใจสุดๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าของเค้าดีจริงอะเนาะ 555555 ซึ่งเมนูของไทยที่ชาวต่างชาติ
เค้าเทใจให้ก็ไม่พ้นต้มยำ ส้มตำ ไก่ย่าง แกงเขียวหวาน ผัดไท หรือแม้แต่เมนูที่พวกเรามองว่าธร
รมดาๆ อย่างข้าวผัดทั่วไป เค้าก็บอกว่าอร่อยค่ะ ! แต่ก็ว่าจริงนะคะ คือกินอาหารชาติอื่นยังไง
สุดท้ายก็รู้สึกว่าอาหารบ้านเราอร่อยที่สุดจริงๆ นะ (อวยสุดฤทธิ์)

 
อันดับ 2 Rome
- Meat Lover
ถ้าอาหารอิตาเลียนไม่ติดอันดับก็คงจะแปลกๆ สิเนาะ เมนูหลักขึ้นชื่อคงไม่พ้นสปาเก็ตตี้
(หอมเนย ชีสเยิ้ม) แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นอาหารโรมแท้ๆ ส่วนมากจะเน้น "เนื้อ" เป็นหลักค่ะ เช่น
Saltimbocca (เนื้อม้วน) Stufatino (สตูว์เนื้อ) Coda alla vaccinara (ซุปหางวัว) เรียกได้ว่าใคร
ชอบกินเนื้อล่ะก็ ห้ามพลาด !

 
อันดับ 3 Paris - Original French

ไม่น่าแปลกใจที่ปารีสจะติดอันดับเข้ามา เพราะฝรั่งเศสเป็นแหล่งกำเนิด โรงเรียนสอนทำอาหาร
ระดับโลกหลายแห่ง เชฟมือทองระดับโลกหลายคนต่างก็มีบ้านเกิดอยู่ที่นี่ เมนูฝรั่งเศสแบบ
ออริจินัลที่ห้ามพลาด เช่น Cog au vin (ไก่อบซอสไวน์แดง) Soupe a l'Oignon au Fromage
(ซุปหัวหอม) Pâté de Foie Gras (ตับบดเครื่องเทศ) รวมไปถึงของหวานจำพวกเบเกอรี่ต่างๆ
ครัวซองต์ เครป ที่นี่เค้าก็ขึ้นชื่อระดับโลกทีเดียว

 
อันดับ 4
Hong Kong
- Simple but Delicious
อาหารฮ่องกงนั้น เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนอาหารจีน 100% เลยก็ว่าได้ แต่เท่าที่รู้สึก อาหาร
ฮ่องกงจะมีรสชาติ และไม่จืดชืดเหมือนอาหารจีน สำหรับเมนูฮิตๆ ก็ไม่ใช่เมนูแปลกใหม่อะไร
มากค่ะ ส่วนมากก็จะเป็นพวกโจ๊ก(หมูชิ้นใหญ่มากกก) บะหมี่เกี๊ยว(เกี๊ยวอันใหญ่เกือบเท่ากำปั้น)
ติ่มซำ(เนื้อแน่นมาก) จะเห็นได้ว่าเป็นเมนูธรรมดามากๆ แต่มันต้องลอง !

 
อันดับ 5
New York
- Pluralism Food  



ถ้าพูดถึงมหานครนิวยอร์กในอเมริกาล่ะก็ บอกได้เลยว่าเป็นเมืองที่มีการผสมผสานของหลาย
วัฒนธรรม มีคนต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่เป็นสิบเป็นร้อยเชื้อชาติ ดังนั้นร้านอาหารในเมืองนี้จึง
เรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารนานาชาติเพราะมี อาหารของแทบทุกชาติขายอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นร้าน
อาหารไทย ร้านพิซซ่า ร้านอาหารจีน ร้านบุฟเฟต์ญี่ปุ่น ร้านบุฟเฟต์ช็อกโกแล็ต ร้านอาหาร
ฝรั่งเศส เป็นต้น เรียกได้ว่าแค่ที่นิวยอร์กที่เดียว สามารถทัวร์ชิมอาหารครบจากทั่วโลกเลยก็ว่าได้


Credit :


0.jpg

 

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อาทิตย์นี้การบ้านเยอะมากๆๆๆ

แก้วมังกร (Dragon Fruit) 
แก้วมังกร เป็นไม้จำพวกแคนตัส (ตะบองเพชร)
เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ ส่วนไทยนำเข้ามาจากเวียดนาม
ที่ได้ชื่อว่า แก้วมังกรนั้น เพราะผลมีลักษณะคล้ายลูกแก้ว อยู่กึ่งกลางระหว่าง
กิ่ง
 2 กิ่ง (คล้ายมังกรกำลังเฝ้าลูกแก้ว) พันธุ์นี้จะมีเนื้อสีขาว ส่วนพันธุ์ที่เนื้อสี
แดงจะเป็นสายพันธุ์มาจากไต้หวัน พืชจำพวกกระบองเพชรอย่างแก้วมังกร
จะมีสารมิวซิเลจ (
Mucilage) จำพวกโปลีแซคคาไรด์เชิงซ้อนอยู่มาก ซึ่งจ
ะช่วยควบคุมน้ำตาลกลูโคสในผู้ที่เป็นเบาหวาน โดยไม่พึ่งอินซูลินและสามารถ
ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และ
LDL คอเลสเตอรอลได้

          นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มธาตุเหล็ก บรรเทาอาการเลือดจาง
และยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ ความดันเลือด ตับ
เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิ
ต้านทานให้กับกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ 

      
 อโวคาโด (Avocado)   
อโวคาโด มีบ้านเกิดอยู่ในแม็กซิโก เป็นผลไม้ที่เจริญเติบ
โตได้ดีในประเทศเขตร้อนหรือกึ่งร้อน ซึ่งมีปลูกในไทยมานานแล้ว
นำเข้ามาโดยหมอสอนศาสนาแต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เพราะรสชาติ
ไม่เป็นที่คุ้นลิ้นคนไทย นอกจากนี้หลายคนยังคิดว่าอโวคาโดมีไขมัน
และคอเลสเตอรอลมาก แต่จริงๆ แล้ว ไขมันในอโวคาโดเป็นไขมัน
ไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนน้ำมันมะกอก
ทั้งยังมีวิตามิน อี สูง ทำให้มีสรรพคุณในการบำรุงผิว


 กีวี (Kiwi)   
 กีวี ผลไม้หน้าตาประหลาด สีน้ำตาล มีขน มองอย่างไร
ก็ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน กีวีมีถิ่น เกิดอยู่ที่เมืองจีน แต่เป็นที่นิยม
ที่นิวซีแลนด์
กีวี มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง
 2 เท่า กากใยก็
มากกว่าแอปเปิ้ล
นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม จึงมี
ส่วนช่วยลดความดันเลือด ลดความเครียดและความอ่อนเพลีย
ทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย


ลูกพรุน, ลูกพลับ และ ลูกไหน (Prun, Plub & Plum)  
 หลายคนคงสงสัยว่า ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ ต่างกันอย่างไร ความจริง
แล้ว ผลไม้ทั้ง
 3 ชนิดนี้ คือ ผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนเป็นการนำ
ลูกพลับมาตากแห้ง ส่วนลูกไหนเป็นชื่อที่คนจีนเรียกลูกพลับ ประโยชน์
ของลูกพรุนนี้มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ แมกนี
เซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามิน บี สาวๆ ที่ต้องการลดความ
อ้วน กินลูกพรุนเยอะๆ จะดี เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย
แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย
 เบอร์รี่ (Berry)   

      เบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ว่าจะเป็นสตอร์เบอร์รี่
ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน
ซี สูง นอกจากนี้จะมีโปรแตสเซียม และเส้นใยอาหารสูงด้วย
  
 แบล็คเบอร์รี่
มีโฟโตเคมีคอล ช่วยป้องกัน
โรคมะเร็งและช่วยในเรื่องการขับถ่าย
 
   บลูเบอร์รี่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ 
  าสเบอร์รี่
มีใยอาหาร วิตามินซี
, เค และยังมีแมง
กานีสที่ช่วยการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ช่วยให้ร
ะบบประสาททำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ทับทิม (Punica/Stone Apple)  
          ทับทิม เป็นผลไม้ขนาดเล็ก นิยมปลูกเป็นไม้มงคลหรือประดับเ
พื่อความสวยงามมากกว่าจะนำไปใช้ประโยชน์เป็นร่มเงา ทับทิมนั้น
สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดอก ใบ ราก
และผลยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม วิตามินซี และวิตามินบี๖
ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ได้ จึงทำ
ให้ทับทิม มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วง
ขับพยาธิ แก้ร้อนใน แก้ไข้ตัวร้อน บรรเทาอาการแผล
ในกระเพาะอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร


          นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นยาบำรุงเลือดได้ ด้วยความ
ที่ทับทิมมีรสหวานอมเปรี้ยว จึงทำให้อุดมไปด้วย
วิตามินซี จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้
 กระทกรก / เสาวรส (Passion Fruit)  

          กระทกรก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เสาวรส เป็นผลไม้
ที่ช่วยบำรุงสายตา และผิวพรรณ เนื่องจากมีวิตามินเอ
สูง ทั้งยังช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือด
และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในเสาวรสนั้นมีวิตามินซี
สูง คือ
39.1 มก./100 มก. ซึ่งมีมากกว่ามะนาวเสียอีก
 มะเม่า (Mamao)  

          มะเม่า เป็นผลไม้สมุนไพร สายพันธุ์เดียวกับเบอร์รี่
มีบ้านเกิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่นิยม
มาทำเป็นไวน์ผลไม้
ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ต่างชาตินิยมเป็น
อย่างมาก เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารมาก เนื่องจากอุดม
ไปด้วยวิตามินซี
, บี1, บี2 และวิตามิน อี ทั้งยังให้แคลเซียม
และธาตุเหล็กด้วย มีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ บำรุงไต
แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้มดลูกอักเสบบวมช้ำ ขับเลือด
และน้ำคาวปลา
ไม่คุ้น

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

องค์การสหประชาชาติ

**ก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2482 - 2488 (ค.ศ. 1939 - 1945) โดยความร่วมมือของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา นายแฟรงคลิน ดี รูสเวท์ และนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษคือ นายวินสตัน เซอร์ชิล แต่คำว่าสหประชาชาตินั้นได้มีการใช้ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2485 ในเอกสารชื่อว่า "คำประกาศโดยสหประชาชาติ" ซึ่งมีประเทศมหาอำนาจ 4 ประเทศ ลงนามในประกาศฉบับนี้ ได้แก่
1. สหรัฐอเมริกา
2. สหราชอาณาจักร
3. จีน
การประชุมเพื่อจัดตั้งองค์การสหประชาชาติได้จัดขึ้น 5 ครั้ง ได้แก่
1. การประชุมบนเรือออกุสตา ในมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2484
2. การประชุมที่กรุงมอสโก ประเทศสหภาพโซเวียต เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486
3. การประชุมที่คฤหาสน์ลัมเบอร์ตันโอคส์กรุงวอชิงตันดี.ชี. ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ.2487
4. การประชุมที่แหลมไครเมีย เมืองยัลตา ประเทศสหภาพโซเวียต เมื่อปี พ.ศ. 2488
5. การประชุมที่เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2488
ได้มีการประชุมครั้งสุดท้าย และมีการตกลงก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาและสมาชิกเริ่มต้นทั้งสิ้น 51 ประเทศ

วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติคือ
1. รักษาสันติภาพของโลก
2. พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ
3. ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีฐานะยากจนให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพอนามัย ความรู้ รวมถึงสิทธิและเสรีภาพ
4. เป็นศูนย์ช่วยเหลือแก่ประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติมี 6 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน จีน อาระบิก ภาษาทั้ง 6 ภาษานี้จัดเป็นภาษาทางการ แต่ภาษาที่ใช้ในการทำงานจริงนั้นใช้เพียง 2 ภาษา ได้แก่ ัอังกฤษ และฝรั่งเศส โดยที่ตัวแทนของประเทศต่าง ๆ จะต้องพูดภาษาในการทำงานได้ภาษาหนึ่ง จากนั้นคำพูดหรือเอกสารจะถูกแปลออกมาเป็นภาษาทางการทั้ง 6 ภาษา สมาชิกขององค์การสหประชาชาติปัจจุบันมีทั้งหมด 189 ประเทศ ประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกหลังสุดคือ ประเทศ Tuvalu เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2543 (..ศ.2000) ส่วนประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 (ลำดับที่ 54)


(ความรู้รอบตัว ของศิริวรรณ คุ้มโห้)

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อาทิตย์นี้การบ้านเยอะมากๆๆ
                             อาการที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะทำ "ง่วง"

คุณเคยสงสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม นั้นคุณลองสังเกตตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตของการง่วงนอนตลอดเวลาบ้างรึเปล่าค่ะ

1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา
2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย
3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข
4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น
5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงเหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามากจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน
6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง
8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา
            เทคนิคเตรียมตัวก่อนวันสอบ กับอีก 3 ข้อคิดหลังสอบ

1.หลังจากที่ใช้เวลาทบทวนเนื้อหากันมามากแล้ว ก่อนวันสอบหนึ่งวันต้องทดทวนอัดแน่นจนเต็มที่ มั่นใจว่าเข้าใจหลักเนื้อแต่ละวิชา
2.หลังจากอ่านมาทั้งวันแล้ว ก็ไปวิ่งให้สมองกระตุ้นการหลั่งสารเอนโดรฟินให้หายเครียด
3.นั่งพักฟังเพลงสบายๆ
     4.หลังจากหายเหนื่อยแล้วอาบน้ำกินข้าว
     5.เชคเฟสนิดๆ
    ุ6.พอช่วงสามทุ่มกะว่าผ่อนคลายเต็มที่แล้วนอนอิอิ เพื่อจะได้ไปสอบให้ทันและวันสอบจะมี          ความ     สดชื่นแจ่มใส
   7.ตื่นแต่เช้าจะวิ่งอีกก้อได้ถ้ามีเวลา และอาบน้ำเตรียมตัวไปสอบ
   8.เตรียมปากกา ดินสอ ยางลบ บัตรเข้าห้องสอบ เชคห้องสอบ ที่นั่งสอบ เครื่องแต่งกาย
    9.การเข้าห้องสอบถ้าจะให้ดีต้องไป ก่อนเวลาสอบประมาณ 30 นาที เพราะถ้าไปช้ามากจะทำให้เกิด ความกังวล สมองจะสูญเสียสมาธิในการสอบไปแล้ว 5-15% และตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ-สกุลและอื่น  ที่หน้าห้องสอบให้ละเอียด
   10.ทำข้อสอบแบบสบายๆด้วยความรอบคอบ
   11.ผลสอบออกมาได้เท่าไหร่ไม่ต้องไปครียด เพราะอย่าน้อยเราก็พยามเต็มที่แล้วสู้้



ข้อคิดหลังสอบ
1.เราพยายามทำสุดยอดแล้ว
2.อย่าเอาความรู้ไว้เพียงแค่เอาไว้สอบเก็บไปใช้ติดตัวบ้างอารัยบ้างก็ดีนะอิอิ
3.อย่าเอาเวลาว่างหลังเลิกเรียนไปเล่นเฟสอีกอิอิ
                                      เทคนิคระงับอาการตื่นเต้นในห้องสอบ
หลายคนเตรียมตัวสอบมาเป็นอย่างที่  แต่พอถึงห้องสอบกับตกม้าตาย   เพราะตื่นเต้นมากไป  เรามาลองใช้วิธีง่ายๆเพื่อลดอาการตื่นเต้นกันดูนะครับ

ก่อนเข้าห้องสอบ
1  ควรงด กาแพ หรือ เครื่องดื่มชูกำลัง ( แต่บางคนก็ชอบทานช่วงสอบ )
2  ให้ทำข้อสอบ แบบจับเวลา  หรือมีการแข่งขันกับเพื่อนหรือตัวเอง (  การแข่งขันจะทำให้เราตื่นเต้นยิ่งขึ้นนะครับ แข่งบ่อยจะทำให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น )
3  ควรสอบหลายรอบ !!  อันนี้คือการทำให้ไม่ตื่นสนามดีที่สุดคือการสอบจริง  โดยน้องอาจจะลงสอบตรงหลายๆ ที่ แต่ก็แลกมาด้วย เงินทอง และเวลา
 4   ออกกำลังกาย
5    นั่งสมาธิ   แต่ข้อนี้คงเป็นอีกข้อที่ทำยาก  แต่ขอบอกว่าได้ผลจริงนะครับ เพราะ อย่างพี่โน๊ต อุดมแต้มมพาณิชย์ เวลาเค้าจะขึ้นแสดง เดี่ยวไมค์โคโฟน พี่เค้าจะนั่งสนามธิก่อน ทุกครั้ง !!

สนามสอบ
1 ควรไปถึงสนามสอบก่อนเวลาสอบอย่างน้อย 30 นาที จะให้ดีควร 1 ชั่วโมงไปเลย
2  บอกกับตัวเองว่า สู้ !!!  เราทำได้อยู่  ถ้าอยู่ที่บ้านแนะนำ ให้อยู่หน้ากระจกมองหน้าตัวเองแล้วตะโกนออกมาดัง ๆ เช่น  เราทำได้  เราจะเรียน คณะ ....  ที่มหาลัย .....   
3 หายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยลมหายใจช้า ๆ
4 ถูมือเบาๆ และ บีบมือตัวเอง
5 ไม่รับดื่มน้ำก่อนเข้าห้องสอบ  เพราะ อาจจะทำให้อยากเข้าห้องน้ำ
                     เคร็ดลับบำรุงสมองให้จำแม่นขึ้น

นช่วงนี้น้องๆหลายๆคนกำลังเข้าสู่การเตรียมตัวสอบFinal หรือเตรียมตัวสอบเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย ปุ๋มปิ๋มจะมาเผยเคล็ดลับในการบำรุงสมองที่ช่วยในส่วนของการจำรายละเอียดต่างๆให้ดีขึ้น ด้วยการ กิน!! อาหารที่มีประโยชน์และที่อาหารที่สมองต้องการ มีดังนี้
ก่อนอื่นเราต้องรู้กันก่อนว่าสมองต้องการสารอาหารอะไรบ้างที่ช่วยในการจำ!!

+ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี1 บี2 บี6 บี12 ไนอะซิน  แพนโธทีนิคและกรดโฟลิค เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน และความสมบูรณ์ของอวัยวะ ต่าง ๆ

- วิตามิน B1 มีมากในเมล็ดข้าวต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขัดให้ขาว เช่น ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู ตับ ถั่ว รำข้าว และยีสต์ที่ตายแล้ว

- วิตามิน B2 พบในอาหารประเภท เครื่องใน เช่น ตับ ไต (เซี่ยงจี๊)  น้ำนม และนมเปรี้ยว (โยเกิร์ต) ผักใบเขียว และ ปลา

- วิตามิน B6 มีในปลา เป็ด ไก่ เนื้อสัตว์ กล้วย ลูกพรุน ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดขาว อะโวคาโด ข้าวโพด

- วิตามิน B12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ อาหารทะเล นมและผลิตภัณฑ์จากนม เนยแข็ง

- ไนอะซิน  หรือ กรดนิโคตินิก หรือเรียกอีกอย่างว่า วิตามินB3 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีสภาพคงทนกว่าวิตามินบี 1 และ บี 2 หลายเท่าตัว มีความทนทานต่อความร้อน แสงสว่าง กรด ด่าง ไนอาซินเป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน พบมากในเนื้อสัตว์ เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่ว เครื่องในสัตว์ มันฝรั่ง ธัญพืช นม ยีสต์ ไข่ ผักสีเขียว

- แพนโธทีนิค หรือ วิตมินB5 ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน รักษาระดับพลังงาน และลดความเครียด พบมาใน นมผึ้ง บริเวอรส์ยีสต์ ตับและไต นัต ธัญพืชไม่ขัดขาวและไข่

- กรดโฟลิก มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ช่วยให้โครงสร้างสมองสมบูรณ์ ช่วยในการดูดซึมน้ำตาลและโปรตีน และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด มีมากในผักใบเขียวจัด เช่น ผักโขม บล็อกโคลี่ เห็ด ตับ ถั่วที่มีสีเขียว มันฝรั่ง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลมีล ส้ม ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง ตับ นม ไข่ โยเกิร์ต

+ ธาตุเหล็ก  เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง
การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์
ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ เครื่องใน อาหารทะเล

โคลีน  เป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมองและสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว  บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และ  เบต้าแคโรทีน  ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม พืชที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น  ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว
** มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด

น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3  ช่วยป้องกันความจำเสื่อม  ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล **ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้
                               8  วิธีอ่านหนังสืออย่างเซียน

เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้

1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น

2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง

3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น

4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ

5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ

6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น

7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้

8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้


                            8     วิธีหนทางสู้การเรียนเก่ง 
       ในการเรียนให้เก่งนั้น ต้องอาศัยทักษะต่างๆ และหมั่นฝึกฝน อดทนและขยันอยู่เสมอ ซึ่งขั้นตอนในการปฎิบัติและวางแผนในการเรียนให้เราเรียนเก่งๆนั้น มีขั้นตอนดังนี้                                                                                                                                              
   1. การเตรียมตัวก่อนไปโรงเรียน ข้อคิดนี้สำคัญ และมองข้ามไม่ได้ค่ะ เราต้องรู้จักประมาณตนในการเข้านอนค่ะ โดยปกติแล้วคนที่หลังจากเลิกเรียนแล้ว เรียนพิเศษโดยเฉลี่ยประมาณชั่วโมงครึ่ง กลับบ้านมากินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน และอ่านหนังสือทบทวน ไม่น่าจะเข้านอนเกิน 5 ทุ่มนะคะ สาเหตุที่เราเข้านอนเกินเวลา - เลิกเรียนแล้วเที่ยวเตร่ไม่รีบกลับบ้าน - มัวแต่เล่นเกมส์ หรืออ่านหนังสือการ์ตูน ซึ่งถ้าทำเพื่อคลายเครียดก็ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง และไม่ควรทำทุกวัน เพราะจะทำให้เราติดเป็นนิสัย - เล่น msn เพื่อแชตในเรื่องไร้สาระ จะทำให้เราไม่ดูเวลา ติดเป็นนิสัย - ดูละครไป ทำการบ้านไป - การบ้านค้างไว้นานๆ แล้วมารีบทำเมื่อถึงวันที่จะส่งแล้ว เมื่อเราหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ขอให้เข้านอนให้ตรงเวลาทุกวันจะได้เกิดความเคยชิน และเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ห้ามหลับต่อ และอย่าลืมรับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนนะ                                                                                    
                                                                                                                           
2. จุดประกายในห้องเรียน - พยายามเลือกที่นั่งด้านหน้า ใกล้ครูให้มากที่สุด - ถ้าเลือกที่นั่งไม่ได้ จำเป็นต้องนั่งข้างหลัง ก็ห้ามปรามเพื่อนรอบข้าง อย่าให้เขาชวนคุย เพราะจะรบกวนสมาธิ - ถ้านั่งริมหน้าต่าง ริมประตู อย่าไปสนใจสิ่งรอบข้าง - ไม่ต้องกลัวเวลาอาจารย์ถาม ถ้าเราตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาดี จะทำให้เรามีความมั่นใจเวลาอาจารย์ถามคำถาม - เมื่อมีข้อสงสัยให้รีบยกมือถามอาจารย์ทันที ไม่ต้องกลัวอายเพื่อน อย่าลืมค่ะ "ด้านได้อายอด"ค่ะ

3. หูฟัง ตามอง มือเขียน - มีสมาธิในการฟัง - มองสิ่งที่อาจารย์เขียนให้ดูบนกระดาน แล้วรีบจดลงไปในสมุด - ไม่ควรฟังไป เขียนไป จะทำให้เราพลาดเนื้อหาที่สำคัญๆ เราควรฟังให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยบันทึก

 4. ชั่วโมงต่อไป ทำไงดี - อย่าเพิ่งรีบเก็บสมุดบันทึกก่อนค่ะ ให้จดหัวข้อว่าวันนี้เรียนอะไรในสมุดอีกเล่ม เพื่อจะได้กลับไปทบทวนที่บ้าน - จดโน้ตคำถามสั้นๆไว้ในส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ คาบต่อไปจะได้ไม่ลืมถามอาจารย์ - ลืมความเครียด ความกังวลในคาบก่อนหน้านั้นให้หมดสิ้น

5. จุดประสงค์การเรียนรู้ หลักสูตร หรือโครงสร้างเนื้อหา มีความสำคัญ ถ้าเรารู้จุดประสงค์การเรียนรู้ของวิชานั้นๆ จะทำให้เรามีทิศทางในการเรียน เปรียบเสมือนแผนที่ที่คอยบอกว่า เราควรเดินไปในทิศทางไหนค่ะ และมีส่วนสำคัญให้เราเลือกซื้อหนังสือไว้อ่านเพิ่มเติมด้วย

 6. จับประเด็น - ฟังอาจารย์ให้ดีๆ ตรงไหนอาจารย์เน้นคำ โดยใช้คำพูดที่หนักแน่นขึ้น - ตรงไหนอาจารย์พูดซ้ำ 2 รอบ - หัวข้อที่อาจารย์พูดถึงว่า ออกสอบบ่อยๆ - แนวแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้มาก็บอกใบ้แนวข้อสอบค่ะ

7. สังเกตสไตล์การสอน - ถ้าอาจารย์ชอบให้ซักถาม ก็เตรียมคำถามไว้ถามล่วงหน้า - ถ้าอาจารย์ชอบสอนไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่านักเรียนตามทันหรือไม่ ก็ไม่ควรขัดจังหวะ โดยการถามคำถามอาจารย์ก่อน ให้จับประเด็นที่อาจารย์เน้นเอาเอง และค่อยถามอาจารย์นอกเวลา - ถ้าอาจารย์บรรยายน่าเบื่อ ฟังแล้วง่วงนอน ให้ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนเป็นนักจับประเด็น และเป็นการฝึกความอดทนไปในตัว พยายามท้าทายตัวเองว่า ต้องเป็นคนช่างสังเกตให้ได้ เหมือนกำลังเล่นเกมนักสืบ - อย่ามีอคติกับผู้สอน เพราะจะทำให้การเรียนน่าเบื่อ ซึ่งมีผลต่อคะแนน ความตั้งใจ และความเข้าใจตลอดเทอม

8. เรียนอย่างเข้าใจ หาใช่เพื่อสอบผ่าน ฟังดูอาจเป็นผลดีที่ขยันเรียนอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อสอบผ่านวิชานั้น ก็เป็นอันว่าหน้าที่นั้นสิ้นสุดลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อหานั้นอีกต่อไป ถ้าต้องเรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ค่อยไปรื้อฟื้อความเข้าใจเพื่อการสอบออกมาใหม่ นี่เป็นความคิดที่ผิดค่ะ ความเข้าใจอย่างแตกฉาน จะมีประโยชน์ต่ออนาคต ต่อการดำรงชีพ ถ้าคิดแบบนี้ จะทำให้สามารถอธิบายวิเคราะห์ สรุปเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ เพราะฉะนั้น การเรียนไม่ใช่การท่องจำเพื่อการสอบอย่างเดียว 

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้ว จะได้ไปลอยกับครอบครัวแล้ว
                             วันลอยกระทง
วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย
ประวัติ
เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่1
ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น
ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง

  • เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
  • เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
  • เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
  • ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพระยามารได้

      ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบัลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า ยี่เป็ง หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
       จังหวัดเชียงใหม่ มีประเพณี"ยี่เป็ง"เชียงใหม่ ในทุกๆปีจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา และมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า
  • จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
  • จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษ: Bermuda Triangle) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ (อังกฤษ: Devil's Triangle) เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลก[1] หลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าววว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก
     พื้นที่
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด แต่แนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่า เนื่องจากปรากฏในงานเขียนจำนวนมาก ระบุว่า จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมอามี, ซานฮวน เปอร์โตริโก, และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา
พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้
   ที่มา
การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฏในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์[2] อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา"[3] บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฏในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962[4] โดยกล่าวอ้างว่าผผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่[5] ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอริซอนส์ (ขอบฟ้าที่มองไม่เห็น)[6]
ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับเป็นคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้
จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2553 โจเซฟ โมนาแกน ได้เสนอว่า สาเหตุที่เรือจมและเครื่องบินตก เกิดจากแก๊สมีเทนที่ก่อตัวขึ้น โดยแก๊สดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โดยเมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองแก๊สมีเทนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงในที่สุด
 

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เส้นทางการเป็นแอร์โฮสเตส


*** ถ้าอยากเป็นแอร์จริงๆก็ควรเรียน คณะมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์
ศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เพราะเราจะได้เปรียบพื้นฐานภาษามากกว่าคนอื่น
คณะอื่น แต่ถ้าอยากทำอาชีพนี้จริงๆ จะจบมาจาก
คณะไหนเค้าก็รับคะ อย่างที่สำคัญที่สุดเราควรหมั่นฝึกภาษาให้ได้มากที่สุดนะคะ
· คุณสมบัติ
คุณสมบัติตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนดไว้เราต้องมีเบสิกก็คือ
1. เราต้องมีอายุระหว่าง 20-26 ปี จบการศึกษาอย่างน้อยปริญญาตรี
2. ส่วนสูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป น้ำหนักก็ต้องสัมพันธ์กับส่วนสูงด้วย
3. สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และที่เราต้องเตรียมคือหัดว่ายน้ำ เพราะจะมีทดสอบให้ว่ายไปกลับ 50 เมตร
4. ภาษาอังกฤษต้องมีผลสอบโทอิคไม่ต่ำกว่า 600 คะแนน
5. การแต่งตัวในวันที่ไปสมัครควรแต่งให้สุภาพที่สุด ถ้าเป็นของสายการบินไทย ควรใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้น
สีขาว กระโปรงสีดำ รองเท้าสีดำหุ้มข้อสูง 2 นิ้วนะค๊ะ และก็อย่าใส่กระโปรงทรงยาว
6. เรื่องทรงผม ห้ามปล่อยผมเด็ดขาด ควรจะรวบผมหรือบางทีอาจจะไปเกล้าผมที่ร้านก็ได้ แต่ไม่ต้องเอา
เวอร์มากนะคะ พอดูสุภาพ หรืออาจจะแสกกลางแล้วรวบคลุมเน็ตก็ได้จร้า
ถ้ามีความสามารถภาษาอื่นด้วยบริษัทจะพิจารณาเป็นพิเศษ นอกจากนั้นต้องเตรียมเรื่องบุคลิกภาพด้วย ซึ่งเราต้องอาศัยถามรุ่นพี่ๆ ที่เป็นแอร์ฯได้ว่าต้องทำยังไงบ้าง รุ่นพี่ก็จะช่วยแนะนำว่าต้องแต่งตัวไปยังไง ให้เรียบร้อยดูดีแบบไหนเมื่อผ่านมาตรฐานตามที่บริษัทกำหนด ก็กรอกใบสมัครซึ่งเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ฉะนั้นจึงต้องเตรียมตัวด้านภาษามาให้ดี ขั้นต่อไปคือการสัมภาษณ์ โดยคณะกรรมการจำนวนหลายคนอาจจะทำให้เกิดความตื่นเต้นได้ ที่สำคัญควจะมีสมาธิและต้องเตรียมควมมพร้อมมาให้เยอะๆนะจ๊ะ


· การฝึกอบรม
สัปดาห์แรกของเราพอเข้ามาปุ๊บต้องเทรนเรื่องเวชศาสตร์การบิน 5 วัน เรียนเรื่องยา การทำคลอด คือสามารถเป็นผู้ช่วยแพทย์ได้ในกรณีที่มีแพทย์อยู่ด้วย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การให้ยาท้องเสีย ท้องอืด หอบกับหืดต่างกันยังไง ลักษณะโรคต่างกันยังไง เทรนตรงนี้ 5 วัน พอเสร็จตรงนี้ก็จะถูกส่งมาฝึกทางด้านความปลอดภัยของแต่ละชนิดเครื่องบิน อุปกรณ์ฉุกเฉินอยู่ตรงไหน ฝึกดับไฟก็ต้องดับไฟจริงๆ ลงน้ำก็ใช้ชูชีพ ใช้ชูชีพยังไง อยู่ยังไง รักษาความอบอุ่นกันยังไง ในกรณีที่เราต้องดำรงชีวิตอยู่ในทะเล กระปำยา อุปกรณ์ฉุกเฉิน แล้ก็ค่อยฟังคำสั่งว่าเราจะไปด้วยกันยังไง ถึงตอนนี้เราจะต้องทำอย่างนี้ๆ นะ ขั้นตอนการให้บริการผู้โดยสาร ในส่วนของอาหารต้องเรียนแม้กระทั่งประโยชน์สมุนไพร โภชนาการ วิธีการประกอบอาหาร อาหารอย่างนี้ประกอบยังไง เพราะบางคนบางศาสนาผู้โดยสารอาจทานไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือบางคนทานมังสวิรัติ ก็ต้องรู้ บางคนทานแป้งสาลีไม่ได้เพราะเลือดจะออกในกระเพาะ ก็จะมีอาหารอีกประเภทสำหรับคนประเภทนั้น รายละเอียดเยอะมาก ถ้าเป็นเครื่องดื่มอย่างเช่นในไวน์แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร เหมาะกับอาหารประเภทไหน กิริยามารยาทก็ต้องฝึก เช่น ไม่ใช้การชี้นิ้วมือ แต่ใช้การผายมือแทน เพราะสุภาพกว่า ซึ่งตรงนี้คุณครูจะสอนมารยาทละเอียดมากการอบรมใช้เวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ เมื่อผ่านอบรมแล้วก็จะได้ขึ้นเครื่องจริงๆ เพื่อทดลองงาน เที่ยวบินแรกของสุตาคือพม่า เธอบอกตื่นเต้นมาก งานของเธอบนเที่ยวบินแรกคือการขึ้นไปช่วยงานบริการพี่ๆ แอร์โฮสเตสถือเป็นการสังเกตการณ์ เรียนรู้งาน ไฟลท์สังเกตการณ์จะมีทั้งหมด 4 ครั้งเมื่อบินเสร็จแล้วต้องกลับมาเข้าคลาสเรียนอีก ครูผู้อบรมจะให้แรกเปลี่ยนประสบการณ์กันว่าไปบินแล้วรู้สึกอย่างไง โดยคุณครูจะคอยเพิ่มเติมความรู้ให้ตลอด

· เส้นทางการทำงาน

หลายคนคงอยากรู้ว่าแอร์โฮสเตสทำงานกันอย่างไง สุตาเล่าให้ฟังว่าพวกเธอต้องมาก่อนไฟลท์ที่จะบิน 2 ชั่วโมงโดยมาพบกันที่สำนักงานกลาง ทุกคนต้องศึกษาว่าวันนี้จะบินไปที่นั่นที่นี่ เวลาต่างกันเท่าไหร่ ต้องรู้ว่ากัปตันครั้งนี้ชื่ออะไร พี่หัวหน้าแอร์คือใคร อินไฟลท์เมเนเจอร์เป็นใคร มีบริการแบบไหน มีเรื่องพิเศษอะไรบ้างมีผู้โดยสารที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษยังไง อาหารที่เสิร์ฟ เครื่องดื่มวันนี้เป็นยังไง นอกจากนั้นทุกคนจะต้องดูวีดีโอเกี่ยวกับความปลอดภัยของเครื่องนั้นๆ ที่โดยสาร เพื่อทบทวนและมีการทดสอบกันอีกทีในห้องก่อนที่จะออกไปสนามบินด้วยกัน
แล้วเราจะต้องมาถึงเครื่องก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง พอไปยืนบนเครื่องคราวนี้จะเป็นเรื่องของการเตรียมการทุกคนที่ได้รับหน้าที่ว่าใครจะต้องประจำอยู่ ณ ตรงไหน ตรวจเช็กอุปกรณ์ความปลอดภัยของตัวเองให้พร้อม เปลี่ยนชุดเตรียมให้บริการ เช็กอุปกรณ์ทุกอย่าง อุปกรณ์ความปลอดภัยครบมั้ย ห้องน้ำเป็นยังไง อาหารเป็นยังไง อาหารพิเศษของผู้โดยสารที่ต้องดูแลพิเศษมาหรือยัง พอพร้อมแล้วพี่หัวหน้าแอร์ฯจะบอกว่าเตรียมรับผู้โดยสารได้เลย ทุกคนก็จะมายืนประจำเพื่อต้อนรับผู้โดยสารตลอดทั้งเที่ยวบิน พวกเธอก็ต้องคอยดูแลผู้โดยสารซึ่งใช้กำลังเยอะทีเดียว ทั้งเข็นรถอาหาร เสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่ม ดูแลความเรียบร้อย เรียกว่าต้องเดินตลอดการเดินทาง ทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมง ฉะนั้นพวกเธอจึงต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเสมอชั่วโมงบินมันนาน ตัวเราเองก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความดันอากาศ อากาศที่เปลี่ยนแปลง แล้วเราต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ เวลานอนก็ไม่เหมือนคนที่ทำงานประจำ ฉะนั้นเราต้องดูแลตัวเองดีๆ ถ้าไม่ไหวไม่สบาย หรือรู้ตัวว่าตัวเองเป็นหวัด ถ้าเป็นหวัดหูอื้อ ก็จะไม่ไป แต่ถ้ายังขืนขึ้นไปนี่อาการหูบล็อกมันอันตราย จะไม่ไปเลยนะคะ เพราะว่านอกจากไม่ดีกับตัวเองยังไปทำให้เพื่อนร่วมงานเหนื่อยขึ้นอีก ถามว่าเหนื่อยมั้ย ชินแล้ว พอกลับมาเราก็พักผ่อนเต็มที่ ทางบริษัทเขาก็จัดวันหยุดให้เรา ในการที่จะทำการบินแต่ละครั้งนี่บริษัทคำนวณไว้แล้ว เขาจะมีอัตราค่าความเหนื่อยให้ว่าเราจะต้องพักผ่อนเท่านี้เพื่อความปลอดภัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันถูกควบคุมด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เราก็ทำหน้าที่ควบคุมตัวเราเองอีกที เพราะบางทีเราไปในประเทศที่ร้อนจัดแล้วไปประเทศที่เย็น เราก็ต้องเตรียมตัว

· คำในของแอร์โฮสเตส
สำหรับคนที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส ขอให้ตอบตัวเองว่าเรารักงานบริการจริงๆ หรือเปล่า เมื่อตอบได้แล้วให้หาข้อมูลให้มากที่สุด หย่าหยุดฝัน ถ้าเรารู้ว่าวันหนึ่งฝันเราเป็นจริงชีวิตมันก็คุ้มค่า อย่าหยุด อย่าท้อ อย่าคิดว่าเป็นแอร์ฯ ต้องสวยหรือเปล่า ต้องเก่งหรือมั้ย ต้องเรียนเมืองนอกหรือเปล่า อย่าไปคิดอย่างนั้น ไม่ใช่เลย ถ้าคุณมีคุณสมบัติกำหนด บริษัทก็พร้อมจะเลือก ซึ่งเขาเลือกคนดี เลือกคนที่มีความตั้งใจ

· สิทธิพิเศษของคนเป็นแอร์
มีรายได้รวมสูงกว่าคนทำงานอาชีพอื่นๆ เข้ามาทำงานใหม่ๆ ก็ได้รายได้ประมาณ 40,000-60,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจำนวนรายได้จะขึ้นอยู่กับตารางบินว่าบินระยะใกล้ไกลแค่ไหน ถ้าบินไกล และค้างคืนหลายวันก็ยิ่งได้มาก· เดินทางไปไหนมาไหนแบบฟรี หรือได้สิทธิ์ในการซื้อตั๋วเครื่องราคาถูกมาก· สมาชิกในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ภรรยา หรือสามี และลูก สามารถใช้สิทธิ์เดินทางซื้อตั๋วราคาถูกหรือไปแบบฟรีได้ ถ้าไม่สบาย หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างการบิน สายการบินจะมีสวัสดิการประกันสุขภาพ สามารถเบิกรักษาพยาบาลได้ทุกแห่งทั่วโลกที่สายการบินมีจุดลง

**ที่มาของข้อมูลจากหนังสือ ( ขวัญเรือน ) / คอลัมส์ (เส้นทางสายฝัน)