วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556


สุดยอดสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม
10. GloFish
 Glofish
ปลาม้าลายเรืองแสงเป็น ปลาที่ไม่ได้พบเห็นในธรรมชาติ(แน่นอน) เพราะมันเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม โดยนำยีนจากแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลชนิดพิเศษ ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนที่เรืองแสงได้เองตามธรรมชาติใน ไปใส่ไว้ในสายของดีเอ็นเอที่ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของปลาม้าลาย จึงทำให้ปลาม้าลายซึ่งปกติมีลักษณะใสและไม่เรืองแสง เปลี่ยนแปลงลักษณะกลายไปเป็นปลาม้าลายที่เรืองแสงได้   เช่นเดียวกับ แมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลที่เป็นเจ้าของดีเอ็นเอนั้นๆ โดยการทดลองนี้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย แห่งชาติสิงคโปร์นำโดย ดร. ซีหยวน กง (Dr. Zhiyuan Gong) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ปลาม้าลายเรืองแสงเหล่านี้เป็นตัวสภาพ ความเป็นพิษของแหล่งน้ำ

ปัจจุบันมีการซื้อขายปลาม้าลาย เรืองแสงสีแดงในชื่อ โกลฟิช (GloFish) เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2004โดยก่อนหน้านั้น มีการทดลองเพื่อตรวจสอบประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดเป็นเวลานานกว่า 2 ปี จนในที่สุด องค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration, FDA) ของประเทศสหรัฐฯ ก็อนุญาตให้จำหน่ายได้ โดยระบุชัดเจนว่า “ไม่มีหลัก ฐานว่าปลาม้าลายดังกล่าวมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าปลาม้าลายทั่วไปแต่ อย่างใด”

9. Grapple
 Grapple

ผลไม้นี้ก็ไม่ได้ พบเห็นในธรรมชาติ(อีกล่ะ) มาจากการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยดัดแปลงพันธ์กรรมระหว่างแอปเปิ้ลและองุ่น ทำให้เกิดผลไม้ชนิดใหม่ที่ผลเหมือนแอปเปิ้ลแต่พื้นผิวเหมือนองุ่นและรสชาติ องุ่น  เป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงมาก และว่ากันว่าเป็นของกินที่ถูกส่งไปช่วยโลกที่สอง ด้วยนะ ภายใต้ชื่อสินค้าว่า Grapple ซึ่ง เป็นแบรนด์ที่จดทะเบียนเชิงพาณิชย์ของฟูจิ(คงไม่ต้องถามว่าประเทศใดคิดค้น) มีอีกชื่อว่าแอปเปิ้ลกาล่า ซึ่งสาเหตุที่นำองุ่นมาใส่ตัวแอปเปิ้ลเพื่อทำให้แอปเปิ้ลมีน้ำที่มากช่วย เก็บรักษาราชาติและเนื้อได้เป้นอย่างดี
8. Graisin
 Graisin
ลูกเกดยักษ์ที่ได้ จากการดัดแปลงพันธ์กรรมเพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ถูกผลิตโดยสถาบันพันธุศาสตร์ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ชอบผลไม้ใหญ่ๆ ล่าสุดนิยมผลไม้และอาหารจากตะวันตกอย่างลูกเกด เนื้อและรสชาติเหมือนกับของพ่อแม่และสามารถกินดิบๆ หรือหั่นบางๆ กินหลายมื้อได้
7.Rubber Cork Tree

เป็นการดัดแปลงพันธุกรรมโดนผสม ระหว่างไม้ก๊อกและยางพารา เพื่อให้เกิดไม้ที่ใช้ทำก๊อกไวน์ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม นั้นคือมีความพรุน, คงทน เปลือกไม้มีสีสันสวยงาม นอกจากนั้นพืชตัดแต่งพันธุกรรมถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในหลายๆ วัตถุประสงค์ ได้แก่ความต้านทานต่อแมลง, ยากำจัดวัชพืชและสภาพสิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย ซึ่งผู้ก่อตั้งแชมเปญ Bollinger บอกว่าก็อกแบบใหม่นี้จะ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ผลิตไวน์มาเลย”(จาก รูปจะเห็นว่ามันไม่มีเปลือกไม้เลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องลอกเปลือกให้เสียเนื้อเยื่อแต่อย่างใด)
6.Umbuku Lizard
 Umbukulizard
เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ไม่มี เหตุผลหรือวัตถุประสงค์ ในการดัดแปลงพันธ์กรรม แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสามารถทำได้ โดยพันธุกรรมในซิมบับเว ได้จัดการดัดแปลงให้ตุ๊กแกสัตว์พื้นเมืองที่มีขนาดเล็กและหายากในแอฟริกา โดยทำให้มันบินได้ แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า Umbuku Lizard(ปล. แปลได้แค่นี้แหละครับ)
5.Paper Tree
 Papertree
ต้นไม้กระดาษเป็นต้นไม้ที่ดัดแปลง พันธุกรรมเพื่อมีวัตถุ ประสงค์การลดต้นทุนการผลิตและการสูญเสียทรัพย์กรต้นไม้ในอุตสาหกรรม ผลิตกระดาษ เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทสวิสได้แลเห็นความสำคัญ จึงได้ดัดแปลงโดยต้นไม้นี้จะออกเป็นใบที่มีขนาดใหญ่ และเมื่อนำไปตากแห้ง คุณสมบัติของมันจะเหมือนกระดาษที่ใช้เขียนมาก ในภาพข้างบนเราจะเห็นพนักงานบริษัทถือใบไม้แห้งของต้นกระดาษทาบต้นไม้กระดาษ อยู่
4.Dolion
 Dolion
มันน่าจะเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ที่ สุดของวิทยาศาสตร์ที่ สามารถนำ DNA มาใช้ได้อย่างเหลือเชื่อ Dolion เป็นการ ดัดแปลงพันธุกรรมระหว่างสิงโตและสุนัข จนได้ผลิตผลสัตว์เหลือเชื่อนี้(บนโลกมีสัตว์ชนิดนี้แค่สามตัวและมันอยู่ใน ห้องปฏิบัติการ ภาพข้างบนมีชื่อว่า Rex ซึ่งเป็นตัว แรก) และข้อมูลของมันไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่(มันจะดุเหมือนสิงโตไหมนี้)
3.Tiny Piney
 
เป็นสน ขนาดเล็ก โตเต็มที่สูงเพียง 2 เซนติเมตร ถูกดัดแปลงพันธ์กรรมเพื่อให้มันเติบโตอย่างรวดเร็วและใช้กลิ่นต้นสนมาใช้ อุตสาหกรรมน้ำหอม โดยต้นแบบสนเล็กๆ นี้มีอยู่มากมายอย่างมหาศาลที่นิยมบริโภคในประเทศปาปัวนิวกีนีโดยจุ่มลงไป ทอดกินกับกะทิและหอย ส่วน Tiny Piney เป็นชื่อเครื่องหมายการค้า
2. Fern Spider
 
แมงมุม เฟิร์นไม่ซ้ำกันในรายการที่เอาสัตว์และพืชมารวมกัน เป็นการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยใช้ แมงมุมพันธุ์ในอิตาลีชื่อ Wolf spider (Lycosa tarantula) และ ponga fern (Cyathea dealbata) วัตถุประสงค์ในการผสมพันธุ์มหัศจรรย์นี้คือการศึกษาอัตราการรอดของแมงมุมใน ธรรมชาติ การทดลองนี้เป็นของ ในนิวซีแลนด์ แต่ผลการศึกษายังไม่เผยแพร่
1.Lemurat
 
ความ มั่งคั่งของคนรวยชาวจีนกำลังเพิ่มขึ้น พวกเขากำลังมองสัตว์เลี้ยงที่แปลกใหม่เอาไว้โอ้อวดเงินทองของพวกเขา และนั้นเองจึงเป้นที่มาของบรัษัทวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์จีนในการ แข่งขันผลิตสัตว์ข้ามสายพันธุ์ให้ประสบผลสำเร็ขมากที่สุด(เพื่อการเงิน) จนที่ที่สุดพวกเขาก็ได้แมวพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมระหว่างพวกลิงและแมว ทำให้ได้สัตว์ที่มีขนนุ่มหลายสีของแมว และหางลายและตาเหลืองทึ่มักพบในสัตว์จำพวกลิง โดยทั่วไปมันไม่อันตราย และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Prolos Fira
0.Cats glow
 
แมวเรืองแสงเกิดจาก ดัดแปลงพันธุกรรมโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเกาหลีใต้ ทำให้แมวมีสามารถเรืองแสงได้ในความมืดเมื่อสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต โดย กง อิลคุน ผู้เชี่ยวชาญด้านโคลนนิ่ง มหาวิทยาลัยแห่งชาติยองซัง ได้สร้างแมวขึ้นมา  3  ตัว แมวเหล่านี้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมในส่วนของยีนที่ผลิตโปรตีนฟลูออเรสเซนต์ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการโคลนแมวที่ถูกดัดแปลงยีนดังกล่าวตอนแรกพวกเขา ได้แมว 3 ตัว แต่ตอนนี้เหลือรอดชีวิตเพียง 2 ตัว และเติบโตจนมีน้ำหนัก 3 กก. และ 3.5 กก. โดยวัตถุประสงค์ใน การทดลองนี้ก็เพื่อนำ  เทคโนโลยีไปใช้ในการโคลน แมวที่มียีนผิดปกติ รวมทั้งมี ประโยชน์ในการพัฒนาการรักษาโรคโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์  หรือจะนำมาใช้ในการโคลน สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น เสือ เสือดาว และแมวป่าก็ยังได้

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก

     

     สะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge) ทอดยาวข้ามอ่าวตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาสร้างในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รู สเวลท์ เมื่อค.ศ. 1933-   1937 ตอนกลางสะพานยาว 1280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร มีทางรถยนต์6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง รถไฟ 2 ทาง ใช้งบ ประมาณก่อสร้างราว 35 ล้านเหรียญสหรัฐ 
     นอกจากมีชื่อเสียงทางด้านความงดงามของตัวสะพานเองแล้ว การก่อสร้างก็น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน การก่อสร้างสะพานบริเวณนี้ทำได้ยากลำบากเพราะกระแสน้ำที่เชี่ยว กรากและเย็นยะเยือก เมื่อก่อสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1937 สะพานโกลเดนเกตเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกและมีเสาสะพานที่สูงที่สุดในโลก ณ ขณะเวลานั้น

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความเป็นมาของหลุยวิตตอง

ถ้าจะกล่าวถึงประเทศฝรั่งเศส นอกจากหอไอเฟลที่ทุกคนจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆแล้ว ทิมเบอร์เชื่อว่า"Louis Vuitton" (หลุยส์ วิตตอง) สินค้าแบรนด์ดังสัญชาติฝรั่งเศสก็จะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทุกคนนึกถึงเป็น อันดับต้นๆเช่นกัน
เรื่องเล่าของหลุยส์ วิตตอง ว่ากันว่าเกิดจากความบังเอิญในยุคต้นศตวรรษที่19 เมื่อการรถไฟของฝรั่งเศสจะทำการเปลี่ยนหนังหุ้มเบาะในตู้นอนของรถไฟชั้น หนึ่ง จากหนังวัวที่เริ่มจะเปื่อยยุ่ยและชำรุด มาเป็นแผ่นผ้าอาบใยสังเคราะห์ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุทันสมัยในยุคนั้น มีความอ่อนนุ่มและทนทานกว่า และยังรักษาความสะอาดได้ง่ายกว่า แผ่นผ้านี้ผู้ผลิตได้ออกแบบลวดลายเป็นลายดอกไม้สี่กลีบในวงกลมสีเหลืองโอ้คบ นผืนผ้าสีน้ำตาลเข้มและใช้ตัวอักษรL Vไขว้กันอันเป็นชื่อย่อของเขา แทนที่จะเป็นW Lอันเป็นตัวย่อของคำว่า Wagon Lit ซึ่งหมายถึง “ตู้นอน ” และผ้าที่ว่านี้ได้ผลิตเสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะทำการบุที่นั่งทั้งหมดได้ใน ทันที หากแต่ข้อผิดพลาดของ Vและ W เป็นอุปสรรคที่ไม่อาจนำผ้าทั้งหมดไปใช้งานได้ แก้ไขก็ไม่ได้นอกจากต้องสั่งผลิตใหม่ทั้งหมด ผ้าจำนวนนั้นจึงถูกระงับโดยมิอาจนำมาใช้ในงานนี้ได้ จำนวนผ้าลวดลายดังกล่าวทั้งหมดที่ถูกปฏิเสธจึงถูกนำไปแปรรูปใช้ในงานอื่นจาก โรงงานผู้ผลิต แต่เพื่อมิให้เป็นการสูญเปล่า โดยนำไปใช้หุ้มหีบใส่สัมภาระสำหรับการเดินทางซึ่งแต่เดิมเป็นการใช้หนังวัว หุ้มบนโครงหีบไม้ มีหมุดเหล็กตอกเป็นระยะเพื่อความทนทาน อันเป็นหีบที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น และใช้ชื่อสินค้าตามชื่อสกุลของผู้ผลิตเป็นเครื่องหมายการค้า และนั่นคือที่มาของชื่อ Louis Vuitton


หีบของ หลุยส์ วิคตอง เริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับนักเดินทางที่เริ่มเดินทางด้วยเรือเดินสมุทรในเวลา ต่อมา ด้วยคุณภาพที่ต่างจากหีบหนังแท้คือมีน้ำหนักเบากว่า สามารถใส่สัมภาระได้มากกว่ารวมทั้งสะดวกต่อการลำเลียง นอกจากนั้นยังไม่ซับน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำฝนหรือน้ำทะเล และเมื่อวางกองรวมอยู่กับหีบเดินทางอื่นๆก็ดูโดดเด่นกว่าด้วยลวดลายที่พิเศษ ง่ายต่อการสังเกตที่บรรดาลูกหาบและเจ้าของที่จะชี้ได้ในทันทีหีบของ หลุยส์ วิคตอง เริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับนักเดินทางที่เริ่มเดินทางด้วยเรือเดินสมุทรในเวลา ต่อมา ด้วยคุณภาพที่ต่างจากหีบหนังแท้คือมีน้ำหนักเบากว่า สามารถใส่สัมภาระได้มากกว่ารวมทั้งสะดวกต่อการลำเลียง นอกจากนั้นยังไม่ซับน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำฝนหรือน้ำทะเล และเมื่อวางกองรวมอยู่กับหีบเดินทางอื่นๆก็ดูโดดเด่นกว่าด้วยลวดลายที่พิเศษ ง่ายต่อการสังเกตที่บรรดาลูกหาบและเจ้าของที่จะชี้ได้ในทันทีหีบของ หลุยส์ วิคตอง เริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับนักเดินทางที่เริ่มเดินทางด้วยเรือเดินสมุทรในเวลา ต่อมา ด้วยคุณภาพที่ต่างจากหีบหนังแท้คือมีน้ำหนักเบากว่า สามารถใส่สัมภาระได้มากกว่ารวมทั้งสะดวกต่อการลำเลียง นอกจากนั้นยังไม่ซับน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำฝนหรือน้ำทะเล และเมื่อวางกองรวมอยู่กับหีบเดินทางอื่นๆก็ดูโดดเด่นกว่าด้วยลวดลายที่พิเศษ ง่ายต่อการสังเกตที่บรรดาลูกหาบและเจ้าของที่จะชี้ได้ในทันที
และเมื่อครั้งที่พระนางอูเชนี อัครมเหสีในพระเจ้านโปเลียนที่3 แห่งฝรั่งเศสได้เสด็จฯโดยเรือเดินสมุทรไปร่วมในพิธีเปิดคลองสุเอซอันเป็น คลองขุดน้ำเค็มที่เชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดงในประเทศ อียิปต์ พระนางก็ใช้หีบของ หลุยส์ วิตตอง เป็นหีบใส่พระภูษาอาภรณ์และสัมภาระต่างๆเป็นจำนวนนับสิบหีบ ไล่ขนาดจากเล็กไปหาใหญ่แลดูเป็นเถาโก้เก๋เป็นที่สุดในสมัยนั้น

จากปารีสสู่อเล็กซานเดรียรอนแรมไปถึงไคโร จาก
เวนิสข้ามเมดิเตอร์เรเนียนสู่อิสตันบูล จากคาเล่ย์ข้ามช่องแคบอังกฤษสู่ลอนดอนและข้ามแอตแลนติคจนถึงนิวยอร์ค ทำให้หีบเดินทางนามนี้กลายเป็นของหรูของโก้ที่บรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์ ผู้ดีมีสกุลในยุโรปพากันตื่นตัวที่จะมีไว้ใช้กันโดยถ้วนหน้า และในเวลาต่อมาความนิยมก็ได้แพร่หลายมาสู่บุคคลในวงการบันเทิงตั้งแต่ใน ยุโรปข้ามโลกไปจนถึงฮอลลีวู้ด และความนิยมได้มาถึงนักธุรกิจภาพยนตร์จากเอเชีย ที่ต่างพร้อมใจกันอุดหนุนสินค้าชื่อนี้เป็นของฝากเมื่อได้ไปร่วมงานมหกรรม ภาพยนตร์ที่เมืองคานนส์ทำให้สินค้าของ หลุยส์ วิตตอง ซึ่งมีบูติคอยู่ที่ทั้งเมืองนีซ เมืองคานนส์ และโมนาโคเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่ดารานักแสดงและผู้มีฐานะที่ไปใช้ เวลาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนที่นั่น หลายครั้งที่หีบและกระเป๋าเดินทางชื่อนี้ถูกนำมาเข้าฉากภาพยนตร์ของ ฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่หลายเรื่องตั้งแต่เรื่องโรมัน ฮอลลิเดย์ ภาพยนตร์รักกระจุ๋มกระจิ๋มเมื่อหลายสิบปีก่อน จนถึงภาพยนตร์ย้อนยุคเช่นเรื่องไททานิค และภาพยนตร์เรื่อง ดิ อิทาเลียน จ๊อบ ที่ใช้กระเป๋าโอเวอร์ไนท์ของ หลุยส์ วิตตอง ในการลำเลียงทองคำแท่งอันเป็นการยืนยันถึงความทนทาน ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันให้เห็นถึงรสนิยมและอิทธิพลของสินค้าชื่อนี้ต่อ ทั้งผู้สร้างและแฟนภาพยนตร์ ด้วยเอกลักษณ์ที่สะดุดตากว่าสินค้าอื่นนั่นเอง
จากปีค.ศ.1896เป็นต้นมาหีบ หลุยส์ วิตตอง ในลวดลาย โมโนแกรม ก็สำแดงคุณภาพอันพิเศษให้เป็นที่ประจักษ์ยากจะหาใครเหมือน ก็คือความทนทานคุ้มราคานั่นเอง ด้วยหีบส่วนใหญ่ที่มีน้ำหนักมากมักชำรุดเสียระหว่างเดินทาง หากแต่หีบนามนี้กลับมีความทนทานมากกว่า โดยเฉพาะตามขอบมุมที่มักถูกกระทบกระแทกจนช้ำชอก ได้รับการป้องกันด้วยการหุ้มมุมด้วยโลหะและตอกหมุดเย็บตะเข็บเป็นอย่างดี โครงข้างในก็เบาและมั่นคงมีการใช้ซับในที่น่าดู ไม่เหม็นกลิ่นหนังที่อับชื้นและหากมีการชำรุดก็ส่งซ่อมได้โดยง่าย ยิ่งทำให้สินค้าชื่อนี้เป็นที่นิยมเป็นทวีคูณ
จากปากต่อปากคำต่อคำในที่สุด หลุยส์ วิตตอง ก็กลายเป็นสินค้าฝรั่งเศสที่ขายดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นสินค้าที่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เลยแต่ก็เป็นสินค้า ที่มียอดขายมากที่สุดจากร้านเล็กๆในมหานครปารีส ปัจจุบัน หลุยส์ วิตตอง มีบูติคที่เปิดจำหน่ายสินค้าของตนในทุกเมืองสำคัญของโลกกว่าร้อยแห่ง ยิ่งเปิดมากยอดจำหน่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองที่ หลุยส์ วิตตอง เริ่มเพิ่มแบบและเพิ่มสีสันให้ลูกค้าเลือกได้มากขึ้น และมีการใช้กลยุทธ์ในการจำกัดจำนวนและถิ่นฐานของผู้ซื้อ กลับกลายเป็นการกระตุ้นยอดขาย ให้บรรดาผู้ที่นิยมในสินค้าชื่อนี้เดินทางไปตามเมืองต่างๆ เพื่อซื้อหามาเป็นสมบัติของตนให้จงได้ อย่างไม่รู้สึกเสียดมเสียดายในเงินทองที่ต้องจ่ายออกไปแม้แต่ทั้งที่สินค้า ของ หลุยส์ วิตตอง เป็นสินค้าราคาสูงหากแต่ด้วยคุณภาพที่ทนทานคุ้มราคา ทำให้สินค้านี้เป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสิ่งแสดงรสนิยมและฐานะ นอกเหนือไปจากการเป็นนักเดินทางผู้มากด้วยประสบการณ์เช่นเมื่อสองศตวรรษที่ แล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://timberfierce.blogspot.com/2009/12/louis-vuitton.html