วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

                             อลังการพบ 5 เค้กแต่งงานที่แพงที่สุดในโลก

   อันดับ 1 Pirates Fantasy
 
          ไพเรตส์ แฟนตาซี เป็นเค้กที่ทำขึ้นโดย ดิมูตู คูมาราซิง เซเลบฯ คนดังของประเทศศรีลังกา สนนราคาของเค้กก้อนนี้เหนาะ ๆ ที่ 35 ล้านดอลลาร์ หรือ 1,050 ล้านบาท! โดยรูปร่างของเค้กทำเหมือนโรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่ง ตัวเค้กนี้มีอยู่ทั้งหมด 10 ชั้น แค่ละชั้นก็ประดับด้วยอัญมณีตระกูลแซฟไฟร์ราคาแพงระยับแตกต่างกันไป ซึ่งอัญมณีที่ราคาแพงที่สุดคือ King Sapphire โดยมีเครื่องประดับต่าง ๆ 10 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นแหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู ในส่วนของส่วนผสมของเนื้อเค้กจริง ๆ จะว่าไปแล้วก็ไม่แตกต่างจากเค้กทั่ว ๆไป เช่น อัลมอนด์, ฟักทอง และชินนามอน
 


 อันดับ 2 Wedding Cake by Nahid La Patisserie Artistique and Mimi So
 
          เค้กแต่งงานก้อนนี้ออกแบบโดยนักออกแบบเค้กชื่อดังในเบเวอร์รี่ ฮิลล์ นายิด ปาร์ซา ซึ่งได้ มิมี่ นักออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับชื่อดังของนิวยอร์กเป็นผู้ช่วย จุดเด่นของเค้กก้อนนี้ คือการนำเอาเพชรจำนวนมาก มาประดับประดาจนทั่ว ราคาของเค้กก้อนนี้จึงอยู่ที่ 20 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 614 ล้านบาท 

อันดับ 3 Diamond Chocolate Cake
 
            นักออกแบบจิวเวอรี่ชาวญี่ปุ่นทำเค้กก้อนนี้ออกมาให้มีรูปร่างคล้ายกับแผนที่ของทวีปแอฟริกา พร้อมประดับประดาด้วยเพชรกว่า 2,000 พันเม็ด จริง ๆ แล้วไม่มีการเปิดเผยมูลค่าของเค้กก้อนนี้ แต่ประเมินกันว่าราว 5 ล้านดอลลาร์หรือ 135.5 ล้านบาท ทั้งนี้ คู่บ่าวสาวสามารถสั่งทำเค้กเป็นภาพของตัวเองได้


 อันดับ 4 Diamond Fruitcake
 
          เพชรฟรุ๊ตเค้กนี่ทำขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน เป็นเค้ก 2 ชั้น ทำเป็นทรง 6 เหลี่ยม 6 ด้าน ประดับด้วยเพชร 223 เม็ด ปักในเนื้อเค้กเป็นลายดอกไม้ สนนราคาที่ 1.7 ล้านดอลลาร์ หรือ 52 ล้านบาท เจ้าสาวอาจไม่อยากเสิร์ฟเค้กก้อนนี้ให้แขกก็เป็นได้ เพราะมันน่ารักและแพงขนาดนี้นี่หน่า (จริงไหม?)

อันดับ 5 Diamond Wedding Cake
 
          เค้กก้อนนี้ทำขึ้นโดยนักทำเค้กชาวดัลลัส สหรัฐฯ ตัวเค้กมี 9 ชั้น น้ำหนัก 160 ปอนด์ ประดับประดาด้วยเพชร 1,200 กะรัต รอบ ๆ ฐานของแต่ละชั้น แต่งด้วยทับทิมเพื่อให้ดูโดดเด่น  ราคาอยู่ที่ 1.3 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 40 ล้านบาท  

12 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

  1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

           
 2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

           
 3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

           
 4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

           
 5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

           
 6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

           
 7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           
 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

           
 9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

           
 10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

           
 11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

           
 12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

           วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

           วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม 

           
วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557


     The Venezia Hua Hin



เวเนเซียหัวหิน



The Venezia Hua Hin




 เวเนเซีย หัวหิน นับว่าเป็นช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ แห่งใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่จำลองเวนิส ประเทศอิตาลี มาไว้ที่เมืองไทย จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสัมผัสความเป็นเวนิสได้เป็นอย่างดี 
          นอกจากนี้ ยังมีการจำลองจัตุรัสเซ็นต์มาร์ค (St. Mark Square) และหอระฆัง (Bell Tower) สัญลักษณ์ของเมืองเวนิส ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลกมาไว้ที่ด้านหน้าโครงการ เพื่อเป็นลานกิจกรรมขนาดใหญ่ และจุดชมวิว อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นเวนิส คือ แกรนด์คาแนล (Grand Canal) ความยาวกว่า 200 เมตร ที่มีเรือกอนโดลาล่องไปในบรรยากาศเสมือนอยู่ในเวนิสจริง ๆ

The Venezia Hua Hin

ทางด้านสถาปัตยกรรมการออกแบบอาคารในแต่ละโซน จะมีรูปแบบสีสันที่แตกต่างกัน โดยล้อไปกับสถาปัตยกรรมในแต่ละเกาะของเมืองเวนิส ล้อมรอบด้วยการจัดวางภูมิทัศน์ที่งดงาม ประกอบด้วยสวนดอกไม้นานาพรรณ ลานน้ำพุ และงานประติมากรรมที่บ่งบอกความเป็นเวนิสอย่างแท้จริง

The Venezia Hua Hin


ซึ่งภายใน The Venezia ประกอบด้วย Village Zone หรือ Shopping Complex Mallที่รวบรวมร้านค้าชั้นนำกว่า 300 ร้านค้า ทั้งแบรนด์ทั่วโลกและแบรนด์ชั้นนำของไทย พร้อมทั้งร้านค้าสไตล์อินดี้ หรือร้านค้าขนาดเล็ก อีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของเวนิสด้วย, ดื่มด่ำกับ 30 ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม, ล่องเรือ Gondola, มีรถม้า และรถไฟเล็กวิ่งตลอดทั้งโครงการ รวมทั้งเทศกาลไอศกรีมและของหวาน, Seafood Festival และ International Beer & Wine ที่จะจัดเป็นประจำทุกปี

ตุ๊กตาแม่ลูกดก                       

ตุ๊กตาแม่ลูกดก หรือ มาโตรชก้า  เป็นตุ๊กตาของรัสเซียที่เรียงซ้อน ๆ กันหลายตัว ชื่อนี้แผลงมาจากชื่อสตรีภาษารัสเซีย ว่า "มาตรีโยนา" หรืออาจจะถูกเรียกว่าตุ๊กตาคุณยาย

     ประวัติ

กำเนิดของตุ๊กตาที่น่ารักตัวนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเป็นสองทาง ทางหนึ่งว่า พระชาวรัสเซียเป็นบุคคลแรกที่นำวิชาทำตุ๊กตาไม้ไปจากเกาะฮนชูของญี่ปุ่น เมื่อมาถึงรัสเซียแล้ว ก็ผสมผสานรูปแบบกับศิลปะท้องถิ่น เช่น แนวคิดในการซ้อนตุ๊กตาที่คุ้นเคยกันดีในรัสเซีย และประยุกต์เข้ากับงานประดิษฐ์แอปเปิลไม้และไข่อีสเตอร์ แล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่า มาโตรชก้า
อีกทางหนึ่งว่ามาโตรชก้าได้รับแรงบันดาลใจจากตุ๊กตาที่ระลึกจากเกาะฮอนชูในญี่ปุ่น และเมื่อเทียบกับตุ๊กตาไม้ของญี่ปุ่นแล้ว ก็จะเห็นว่าตุ๊กตาญี่ปุ่นเหล่านั้นมีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกับมาตริยอชคา ด้วยเป็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงแกะด้วยไม้ เชื่อกันว่าในภายหลังมีการนำตุ๊กตาจากญี่ปุ่นไปยังแผ่นดินรัสเซียเมื่อราว พ.ศ. 2430
เมื่อปี พ.ศ. 2443 เอ็ม. เอ. มามอนตอฟ ได้นำตุ๊กตาแบบนี้ไปจัดแสดงในงานสินค้า (World Exhibition) ที่กรุงปารีส และได้รับรางวัลเหรียญทองแดง และในไม่ช้าก็มีการผลิตตุ๊กตาแม่ลูกดกในรัสเซียอย่างแพร่หลายในหลายท้องที่และหลากหลายรูปแบบ
เมื่อประมาณ 120 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของรัสเซียครั้งใหญ่ จึงมีความสนใจที่จะอนุรักษ์ธรรมเนียมพื้นบ้านมากขึ้น ด้วยมีการฟื้นฟูวัฒนธรรมและรวบรวมผู้เชี่ยวชาญศิลปะพื้นบ้านต่าง ๆ และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ความทรงจำเก่า ๆ เกี่ยวแก่ท้องถิ่นรัสเซีย จึงมีการสร้างห้องทำงานช่างศิลปะขึ้นใกล้กับกรุงมอสโก ศิลปะพื้นบ้านต่าง ๆ จำพวกของเล่นและตุ๊กตา ถูกรวบรวมมาจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อศึกษาและผลิตสืบต่อไป
ศิลปินคนสำคัญคนหนึ่งชื่อว่าเซียร์เกย์ มัลยูติน ได้ร่างแบบตุ๊กตาแม่ลูกดกขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นได้มีการถกเถียงและแก้ไขรูปร่างกันหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้รูปแบบที่ตกลงกัน คือวาดเป็นเด็กหญิงหน้ากลมแป้น ตาใสแจ๋ว สวมชุดที่เรียกว่า ซาราฟัน (ชุดยาวถึงพื้นมีสายรั้งสองข้าง) และวาดผมสวย แต่มีผ้าคลุมศีรษะสีสดใสให้ แล้วยังมีตุ๊กตาที่เหมือนกัน แต่ตัวเล็กกว่าใส่ไว้ข้างในด้วย แต่ตุ๊กตาข้างในแต่งตัวไม่เหมือนกัน กล่าวคือสวมโคโซโวรอตคัส (กระโปรงแบบรัสเซีย) และเสื้อเชิ้ตปอดดิออฟคัส (เสื้อคลุมยาวถึงเอวของผู้ชาย) และผ้ากันเปื้อนด้วย รูปร่างของตุ๊กตาแม่ลูกดกสมัยที่มัลยูตินได้ร่างแบบไว้ในมอสโก เมื่อปี พ.ศ. 2434 เป็นอย่างนี้



วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

                          10 อันดับ สถานที่เพื่อการฉลองคริสต์มาส

10. เมืองซาน ฮวน ประเทศเปอร์โตริโก

อันดับที่ 10 คือเมืองซาน ฮวน ประเทศเปอร์โตริโก ในเวบไซต์ให้เหตุผลว่า หากรู้สึกว่าการฉลองคริสต์มาสในแต่ละปีสั้นเกินไป ให้ไปเที่ยวที่เมืองนี้ เพราะเทศกาลคริสต์มาสที่นี่เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จนถึงกลางเดือนมกราคม ซึ่งชาวพื้นที่นี่ฉลองคริสต์มาสกันนานถึง 3 เดือน

9. กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

อันดับที่ 9 คือ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นเมืองที่สามารถพบซานตาคลอสได้ตามสถานที่ต่างๆ แต่ที่การฉลองคริสต์มาสในลอนดอนจะสั้นกว่าที่อื่นๆ โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 24 ธันวาคม หรือวันคริสต์มาสอีฟ

8. อันดับที่ 8 คือ นิวยอร์กซิตี สหรัฐอเมริกา

อันดับที่ 8 คือ นิวยอร์กซิตี สหรัฐอเมริกา ทุกปีจะมีการประดับประดาต้นคริสต์มาสอยู่หน้าตึกหรือสถานที่สำคัญต่างๆ โดยเฉพาะต้นคริสต์มาสหน้าศูนย์รอกกีเฟลเลอร์ ซึ่งประดับไฟยาวกว่า 8 กิโลเมตร

7. กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมาจะเกิดสึนามิและกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าไปเที่ยวในช่วงคริสต์มาส ซึ่งทั่วกรุงโตเกียวจะมีการประดับประดาไฟอย่างสวยงาม และยังมีการประดับต้นคริสต์มาสแบบญี่ปุ่นอีกด้วย

6. มูอองซาร์ตูซ์ ประเทศฝรั่งเศส

อันดับที่ 6 มูอองซาร์ตูซ์ ประเทศฝรั่งเศส ที่นั่นจะจัดงานตุ๊กตาจำลองขนาดเล็กสำหรับซื้อเพื่อเป็นของขวัญในเทศกาล คริสต์มาส โดยตุ๊กตาจำลองในมูอองซาร์ตูซ์มีตั้งแต่รูปจำลองที่เกี่ยวของกำเนิดวัน คริสต์มาส ต้นคริสต์มาส และของประดับบ้าน

5. นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

อันดับ 5 นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เพราะวันคริสต์มาสตรงกับฤดูร้อนของออสเตรเลียพอดิบพอดี ผู้คนจึงนิยมออกมาฉลองคริสต์มาสกันที่ชายหาด ขณะเดียวกันก็มีการประดับประดาอาคารและต้นคริสต์มาสเหมือนในประเทศอื่นๆ

4. เมืองเวโรนา ประเทศอิตาลี

เมืองเวโรนา ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นอันดับที่ 4 และเป็นบ้านเกิดของโรมีโอกับจูเลียต ในทุกปีจะจัดงานฉลองคริสต์มาสกันริมคลอง และมีการจัดคอนเสิร์ต จุดดอกไม้ไฟในบริเวณปราสาทอาร์โกด้วย

3. เมืองเรคาวิก ประเทศไอซ์แลนด์

เมืองเรคาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ ในปีนี้ได้จำลองเมืองทั้งเมืองให้เป็นเมืองเทพนิยาย และมีหมู่บ้านคริสต์มาส ซึ่งจะเปิดเฉพาะช่วงวันเสาร์อาทิตย์ตลอดเดือนธันวาคม นอกจากนี้ยังมีการก่อกองไฟและจุดดอกไม้ไฟในช่วงปีใหม่ไปจนถึงวันที่ 6 มกราคม

2. กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย จัดเทศกาลคริสต์มาสตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงวันคริสต์มาส โดยจุดเด่นอยู่ที่ตลาดสินค้าคริสต์มาส ซึ่งมีมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว โดยมีอาหารจำหน่ายมากมาย เช่น ขนมปังขิง วาฟเฟิล ไส้กรอกย่าง และไวน์

1. เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี

เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีตลาดสินค้าคริสต์มาสที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนนูเรมเบิร์กได้ ถึง 2 ล้านคนต่อปี โดยมีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ และร้านขายของทำมือเกือบ 200 ร้าน งานนี้มีไปจนถึงวันคริสต์มาสอีฟ

สำเร็จ! ไอ้แมงมุมพิชิตบูร์จคาลิฟา ตึกสูงที่สุดโลก                     

อแลง โรแบร์ ผู้ได้รับฉายาว่า 'ไอ้แมงมุมชาวฝรั่งเศส' แสดงความสามารถเสี่ยงตาย โดยการปีนตึกธนาคารฮั่ง เส๊ง ในฮ่องกง ซึ่งสูงกว่า 137 เมตร ด้วยมือเปล่า และไม่มีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยใดๆ

โดยนายโรแบร์ ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวในโรงแรม ก่อนออกปฏิบัติการที่สร้างความระทึกขวัญให้กับคนดู มากกว่าคนปีน โดยเขาใช้เวลาทั้งหมดเพียง 40 นาที ท่ามกลางบรรดาผู้ชมที่บังเอิญเดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้น
อย่างไรก็ตามการปีนตึก ครั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีที่เขาไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายใดๆ หลังจากที่ปีที่แล้ว เขาถูกปรับเป็นจำนวนเงินถึง 750 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 23,000 บาท หลังปีนตึกรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ ที่ประเทศออสเตรเลีย

'อแลง โรแบร์' เจ้าของฉายา 'มนุษย์แมงมุม' ชาวฝรั่งเศสผู้นี้ เริ่มต้นหัดปีนตึกและลิ้มลองความหวาดเสียวครั้งแรก ด้วยความบังเอิญ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้น เพราะเขาเข้าห้องไม่ได้เพราะประตูล็อค ทำให้โรแบร์ต้องปีนเข้าห้องพักทางหน้าต่าง ในชั้น 8 ของอพาร์ทเมนท์ ขณะที่มีอายุเพียง 12 ปี โดยนับแต่นั้นมา อแลง โรแบร์ก็ออกเดินทางเพื่อไต่ปีนตึกมาแล้วกว่า 80 ตึกทั่วโลก

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556


เกาะฮาชิมะ เกาะร้างสุดเฮี้ยนติดอันดับโลกของญี่ปุ่น


เกาะฮาชิมะ ญี่ปุ่น  เกาะฮาชิมะ ญี่ปุ่น

 เกาะฮาชิมะ อยู่ห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร สมัยที่เกาะฮาชิมะรุ่งเรืองมันถูกตั้งชื่อว่า Battleship Island หรือ เกาะเรือรบ ในอดีตเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยถ่านหิน จนเมื่อมีการค้นพบจึงได้เริ่มต้นทำเหมืองถ่านหินกันอย่างจริงจังในปี 2430 ก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่างมิตซูบิชิจะซื้อเกาะดังกล่าวเพื่อพัฒนาเป็นเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ รองรับกับความต้องการถ่านหินในการพัฒนาอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นยุคนั้น จนทำให้มีการอพยพแรงงานและครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะแห่งนี้จนเต็มพื้นที่

            อย่างไรก็ดี เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนกับสถานที่คุมขังนักโทษด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่น ได้เกณฑ์แรงงานชาวจีนและเกาหลีใต้ที่เป็นจำเลยช่วงสงครามมาทำงานในเหมืองถ่านหิน ทำให้ในสายตาของชาวจีนและเกาหลีใต้มองเกาะฮาชิมะเป็นเหมือนกับสถานที่ที่ทำให้พวกเขาฝันร้ายมาจนถึงปัจจุบัน

            จนกระทั่งปี 2517 มิตซูบิชิได้ประกาศปิดเหมืองบนเกาะฮาชิมะ เนื่องจากพลังงานจากถ่านหินไม่ได้เป็นที่ต้องการของญี่ปุ่นอีกต่อไป โดยทุกคนหันไปให้ความสำคัญกับพลังงานจากน้ำมันแทน ซึ่งหลังจากการปิดตัวลง แรงงานทั้งหมดจึงอพยพออกจากพื้นที่ และปล่อยให้เกาะแห่งนี้เป็นเกาะร้าง ที่ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้หรือดอกไม้ขึ้นอยู่ มีก็แต่เพียงไม้ล้มลุกขนาดเล็กเท่านั้น

            ปัจจุบัน ทางการญี่ปุ่นพยายามที่จะผลักดันให้เกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลก โดยยื่นเรื่องไปยังองค์การยูเนสโก แต่กลับถูกทางการเกาหลีใต้คัดค้าน เพราะมองว่าเกาะฮาชิมะ คือบาดแผลสงครามที่ยังหลงเหลืออยู่ และทำให้ชาวเกาหลีใต้และชาวจีน รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง ที่มีการกล่าวถึงเกาะนี้